1. คุณกับคู่รักของคุณทะเลาะกันน้อยกว่าที่เป็น
การมีความสัมพันธ์กับคนรักนั้น มักตามมาด้วยความขัดแย้ง การทะเลาะ การผิดใจกัน
และเราก็ต้องยอมรับว่าหลายๆ คร้ังมันบั่นทอนชีวิตของเราอยู่พอสมควร
ลองไปดูบรรดาคนที่ทะเลาะกับแฟนหรือกำลังดราม่ากับคนรักสิครับ
เรารู้สึกเลยว่าชีวิตมันย่ำแย่เอามาทีเดียวทั้งที่จริงๆ การมีความรักน่าจะเป็นเรื่องดีเสียด้วยซ้ำ
ผมกับภรรย าเองก็เคยมีช่วงเวลาดังกล่าวที่รู้สึกเหนื่อยกับปัญหาระหว่างกัน
มันทำให้อะไรรอบข้างก็ดูแย่ไปเสียหมด แต่พอเราเริ่มปรับกันให้ลงตัว ทะเลาะกันน้อยลง
และพยายามมีความสุขกับชีวิตที่เรามี ผมยอมรับเลยว่ามันเป็นชีวิตคู่ที่มีความสุขมากๆ
(แม้ว่าหลายๆ อย่ างอาจจะไม่สมบูรณ์พร้อมหรือน้อยกว่าหลายๆ คู่ก็ตาม)
เช่นกันครับ การที่คุณสามารถประครองความสัมพันธ์ของคุณให้ไม่ต้องทะเลาะกัน
มีความสุขด้วยกัน มันก็ดีแค่ไหนแล้วล่ะครับ
2. คุณไม่ต้องมีเงินมากมาย แต่คุณก็สามารถมีชีวิตที่ “ร่ำรวย” ได้
คำว่า “รวย” สำหรับหลายๆ คนคือการมีเงินมากมาย มีบัญชีหลายสิบล้าน ร้อยล้าน พันล้าน
แต่การบอกว่าใช้ชีวิตแบบ “ร่ำรวย” อาจจะไม่ต้องใช้เงินมากขนาดนั้นก็ได้
ลองคิดกลับว่าถ้าคุณไม่ได้รวยมาก การที่คุณสามารถกินอาหารดีๆ ในร้านอาหารกลางๆ
แทนที่จะต้องกินอาหารข้างทาง คุณสามารถหาเสื้อผ้าดีๆ
ใส่ได้แม้ว่าจะไม่ใช่แ บ ร น ด์ เ น มดังแต่ก็ดีกว่าใส่เสื้อผ้าขาดๆ
เปื่อยๆ มันก็ดีแค่ไหนแล้ว การตีความของคำว่า “ชีวิตร่ำรวย” ไม่ได้อยู่ที่ว่าคุณมีเงินเท่าไร
แต่มันอยู่ที่คุณใช้เงินอย่างไร และคุณรู้สึกกับมันแค่ไหน แม้คุณจะไม่ได้มีเงินพันๆ ล้าน
แต่คุณก็สามารถใช้ชีวิตแบบ “ร่ำรวย” ในแบบของคุณได้แหละน่า
3. คุณไม่กลัวกับการที่จะขอความช่วยเหลือจากคนอื่น
สำหรับหลายๆ คน การเอ่ยปากขอความช่วยเหลือเป็นเรื่องที่หนักปากเอามากๆ
ส่วนหนึ่งเพราะบางคนมีความคิดว่าตัวเองดีเลิศ สมบูรณ์แล้ว การขอความช่วยเหลือเป็นเหมือนกับ
การบอกว่าตัวเองพ่ายแพ้ แย่ ฯลฯ ทั้งที่จริงๆ แล้วมนุษย์เราก็ไม่มีใครสมบูรณ์พร้อมไปหมดทุกอย่าง
การที่คุณยอมรับว่าตัวเองมีปัญหาและแก้ไขเองไม่ได้ก็ เป็นหนึ่งในสิ่งที่ดีที่ทำให้คุณได้เผชิญหน้า
กับความจริงของตัวเองแทนที่จะทนฝืนและหลับหูหลับตาหลอกตัวเองไปเรื่อยๆ
ฉะนั้นอย่ากลัวที่ตัวเองจะมีปัญหา (เพราะมันเป็นเรื่องปรกติอยู่แล้ว)
และถ้าคุณแก้ไม่ได้ คุณก็ควรกล้าจะยกมือบอกคนอื่นๆ
4. คุณมีที่อยู่ที่เป็น “บ้าน”
หลายคนมีบ้าน แต่ไม่ได้รู้สึกว่าเป็น “บ้าน” อย่ างที่มันควรจะเป็น ทั้งนี้เพราะตัวบ้านกับความรู้สึกของความเป็นบ้าน
เป็นคนละเรื่องกัน ฉะนั้นแล้ว ถ้าเมื่อไรก็ตามที่คุณรู้สึกว่าบ้านที่คุณอยู่มันเป็น “บ้าน” จริงๆ
แล้วก็ล่ะก็ ควรดีใจไว้เถอะครับเพราะคนจำนวนไม่น้อยไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นเลย
5. คุณยกมาตรฐานของคุณให้สูงขึ้น
สิ่งหนึ่งที่ทำให้คนเราไม่ได้ก้าวไปไหน คือการย่ำอยู่บนความสำเร็จหรือกรอบเดิมๆ ที่ตัวเองวางไว้
ประมาณว่าตัวเองทำได้เท่านี้ดีแล้ว ก็จะทำแบบนั้นต่อไปโดยวางไว้ว่านั่นคือมาตรฐานการทำงานของตัวเอง
แต่คนที่ประสบความสำเร็จมักจะมีการประเมินและยกมาตรฐานของตัวเองอยู่เรื่อยๆ
ทั้งนี้เพราะการยกมาตรฐานตัวเองนั้นจะทำให้พวกเขาได้มีโอกาสในการพัฒนาความสามารถอยู่เสมอนั่นเอง
6. คุณปล่อยมือจากสิ่งที่ทำให้คุณรู้สึกไม่ดี
วิธีการเดียวที่จะทำให้ความทุกข์หลุดออกจากตัวคุณได้ก็คือการปล่อยมันไป เพราะเอาจริงๆ
ที่คุณยังทุกข์อยู่นั้นก็เพราะคุณยังยึดติดกับมัน ยังไม่ปล่อยมันออกจากความคิดของตัวเอง
มันเหมือนกับเรื่องเล่าที่ผมชอบมาก ถ้าคุณกำดินสอแล้วยกขึ้น คว่ำมือลง
จะมีวิธีไหนบ้างที่คุณจะให้ดินสอออกจากมือ? มันก็คือแค่การที่คุณแบมือออกนั่นแหละ
ดินสอก็จะตกไปจากมือคุณแล้ว ความทุกข์และเรื่องราวไม่ดีต่างๆ
มันก็เหมือนดินสอในมือคุณแหละครับ ที่มันยังอยู่ในมือคุณก็เพราะคุณกำมันไว้
ไม่ยอมปล่อยเสียที การที่คุณกล้าจะปล่อยมือจากมันก็จะทำให้ชีวิตคุณหลุด
จากบ่วงความทุกข์เดิมๆ ไป ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่แสนดีเลยใช่ไหมล่ะครับ
7. คุณมีช่วงเวลาดีๆ ให้คุณได้ชื่นชมเวลามองตัวเองในกระจก
อะไรจะดีไปกว่าการที่คุณสามารถมองตัวแล้วชื่นชมกับตัวคุณเอง (แต่ไม่ใช่หลงตัวเองนะ)
เพราะมันคือการที่คุณมองเห็นคุณค่าในตัวคุณเอง รู้สึกได้ว่าชีวิตของคุณมี
ความงดงามในแบบที่คุณตัวเองรู้สึกได้โดยไม่ต้องรอให้คนอื่นมาตัดสิน
การเริ่มยิ้มให้กับตัวเอง ภูมิใจกับตัวเอง เป็นความสำเร็จที่คุณสร้างได้ด้วยตัวเองที่สำคัญมากๆ
ถ้าคุณทำได้วันนี้ ก็เป็นเรื่องน่ายินดีมากๆ เลยล่ะครับ (แต่ก็ยังย้ำนะฮะว่ามันต่างจากการหลงตัวเองนะครับ)
8. คุณลดการตั้งอคติและมองหาการคิดแง่บวก
การตั้งอคติเป็นธรรมชาติของคนจำนวนมาก (ผมเองก็ยังเป็นๆ เลยในบางครั้ง)
เช่นเดียวกับการชอบวิจารณ์ต่างๆ นานาโดยไม่รู้ตัว หลายๆ ทีมันนำไปสู่การตั้งทัศนคติแง่ลบให้กับทุกๆ
อย่ างรอบตัวคุณซึ่งมันจะแย่มากหากเกิดเป็นนิสัยประจำตัว แน่นอนว่าถ้าคุณรู้ตัวและพยายามเลิกนิสัยนั้นพร้อมกับ
เปิดใจมองทุกอย่ างไปในแง่บวกมากขึ้น มันก็เป็นความสำเร็จที่ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว
เพราะมันจะทำให้ชีวิตของคุณเป็นแง่บวกมากกว่าเดิมเยอะเลยครับ
9. คุณเรียนรู้และยอมรับได้ว่าความผิดพลาดเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาตัวเอง
เราพูดกันเสมอๆ ว่าความผิดพลาดเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จในอนาคต คนที่เก่งคือคนที่เรียนรู้จากความผิดพลาด
แต่ในความเป็นจริงน้อยคนจะยอมรับและเข้าใจเรื่องนี้จริงๆ เพราะคนส่วนมากจะเลือกจมอยู่กับความผิด
บ้างก็ไม่ยอมรับความผิดพลาดนั้น ทั้งที่จริงๆ แล้วถ้าคุณเปิดใจยอมรับมัน
คุณก็จะประสบความสำเร็จในการมีวัตถุดิบและบทเรียนชีวิตชั้นดีอยู่ในมือเลยล่ะครับ
10. คุณมีคนที่คอยสนับสนุนคุณในทุกๆ เรื่อง
การมีกัลย าณมิตรเป็นทรัพย์ประเสริฐที่มีเงินมากมายก็ยังหาซื้อกันไม่ได้ ยิ่งการมีคนที่คุณสามารถพึ่งพาเขาได้ในยามยาก
มีคนที่คุณรู้ว่าเขาจะสามาถช่วยคุณได้ในทุกๆ เรื่อง พร้อมจะทำทุกๆ อย่างเพื่อคุณ
(แต่อาจจะไม่ต้องเป็นคนๆ เดียวก็ได้นะ) มันก็ถือว่าเป็นอะไรที่สุดจะประเสริฐในชีวิตแล้วล่ะครับ
11. คุณได้ยิน “ฉันรักคุณ” อยู่บ่อยๆ จากเพื่อนและคนรัก
หลายคนอาจจะบอกว่าการพูดบ่อยๆ มันเป็นเรื่องเฝือ หรือพูดจนไร้ความหมาย แต่อันที่จริงแล้ว
ถ้าคนที่เขาแคร์คุณและจริงจังกับคุณ แม้ว่าเขาจะพูดบ่อยแค่ไหนมันก็มีความหมายในทุกๆ
ครั้งที่พูดนั่นแหละ ฉะนั้นยิ่งถ้าคนที่คุณรัก คนที่คุณแคร์เขาพูดกับคุณบ่อยๆ นั้น
มันก็เป็นเรื่องที่ดีเอามากๆ ซึ่งน้อยคนจะมีโมเมนต์แบบนั้นนะครับ
12. คุณรับได้ในสิ่งที่คุณเปลี่ยนแปลงไม่ได้ และคุณเปลี่ยนแปลงในสิ่งที่คุณรับไม่ได้
จริงอยู่ว่าคนเรามีความสามารถและทางเลือกมากมาย แต่ไม่ใช่ว่าคุณจะจัดการได้ทุกสิ่ง
การที่คุณเข้าใจว่าอะไรคือสิ่งที่นอกเหนือการควบคุมของคุณและยอมรับมันได้
ก็คือความสำเร็จอย่างหนึ่งของคุณแล้ว เช่นเดียวกับการที่คุณรู้ว่าอะไรที่คุณสามารถเลือก
และสร้างการเปลี่ยนแปลงได้โดยไม่ยอมแพ้กับสิ่งที่คุณไม่ต้องการ
หากมันสามารถทำได้ คุณสามารถแก้ไขมันได้ มันก็จะดีถ้าคุณเลือกจะลุกขึ้นมา
เปลี่ยนแปลงมันแทนที่จะทนอยู่กับสิ่งที่คุณยอมรับไม่ได้นั่นแหละ
13. คุณไม่เอาแต่บ่นแต่สนใจว่าอะไรคือวิธีแก้ปัญหา
ทุกๆ วันเราล้วนเจอแต่ปัญหามากมาย สิ่งแรกที่เรามักทำกันคือการบ่นระบายอารมณ์ออกมา
แต่มีไม่กี่คนจะพย าย ามคิดหาวิธีแก้ไข หาคำตอบในสิ่งที่จะทำให้สถานการณ์ดีขึ้น
การที่คุณตั้งทัศนคติที่จะพย าย ามหาทางแก้ไขมันก็ถือเป็นความสำเร็จอีกอย่ างหนึ่งของชีวิตแล้ว
เพราะนั่นคือทัศนคติเริ่มต้นของคนที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับชีวิตได้นั่นเอง
14. คุณไม่โทษพ่อแม่ แต่ยอมรับในสิ่งที่พวกเขาเป็น
คนจำนวนมากมักบ่นถึงความ “ไม่สมบูรณ์” ของพ่อแม่ตัวเอง บ้างก็บอกว่าขี้บ่น บ้างก็บอกว่าไม่รู้เรื่อง
ไม่ทันโลก หัวเก่า ฯลฯ แต่คุณต้องรู้ว่าคุณไม่สามารถเปลี่ยนแปลงพวกเขาได้หรอก
(ย้อนกลับไปข้อ 12) ฉะนั้นคุณต้องรู้จักยอมรับกับสิ่งที่มันเป็น ผมเองก็ต้องยอมรับว่าสมัยก่อนผมก็มักหงุดหงิดกับหลายๆ
เรื่องของพ่อแม่ (เมื่อผมไปเทียบกับพ่อแม่เพื่อนบางคน) แต่ถึงจุดหนึ่งผมมามองย้อนกลับไป
พวกเขาก็เป็นคนที่เรามาด้วยทั้งชีวิต แม้ว่ามันอาจจะไม่ได้ดีเลิศสมบูรณ์ 100% แม้หลายๆ
อย่ างอาจจะไม่ได้ดั่งใจ แต่นั่นก็ดีเสียกว่าไม่มีพวกเขา พอคิดได้แบบนี้แล้ว
คุณก็จะรู้สึกว่าครอบครัวของคุณมีดีกว่าเดิมเยอะเลยล่ะครับ
15. คุณหยุดแคร์ว่าคนอื่นจะพูดถึงคุณอย่ างไร
คนทั่วไปมักพย าย ามเช็คตัวเองกับคนอื่นเพราะกลัวว่าตัวเองจะถูกมองไม่ดีจากคนนั้นคนนี้
(ผมเองก็ยังเป็นเลยฮะ) และนั่นทำให้ชีวิตคุณต้องไปติดกับอะไรหลายๆ อย่างโดยไม่จำเป็น
แต่เมื่อไรก็ตามที่คุณสามารถสลัดความคิดและการแคร์คนอื่นมากเกินไปออกได้แล้ว
คุณจะรู้สึกว่าชีวิตคุณดีขึ้นเยอะมาก (และเชื่อเถอะว่าหลายๆ คนยังทำไม่ได้)
ฉะนั้นถ้าคุณสามารถเลิกคิดเรื่องว่าคนอื่นจะมองคุณอย่ างไรได้แล้ว
ก็คงต้องขอยินดีด้วยแหละครับ (แต่เรื่องนี้ไม่ใช่ว่าเลิกแคร์ไปทุกอย่ างแล้วทำอะไรก็ได้นะฮะ