อาการ ปวดหัว ที่เรามักพบบ่อยๆมีอยู่ 2 ประเภท คือปวดหัวแบบมีความผิดปกติในสมอง เช่นมีอาการหลอดเลือดโป่งพองในสมอง
เส้นเลือดดำในสมองอุดตันหรือมีก้อนเนื้องอกในสมองและอีกหนึ่งอาการปวดหัวที่มักพบบ่อยในคนทั่วไป
โดยเฉพาะหนุ่มสาววัยเรียนวัยทำงานคืออาการปวดหัวจากความเครียดและอาการปวดหัวจากไมเกรนอาการปวดหัวแบบต่างๆที่พบบ่อย
ปวดแบบมีความผิดปกติในสมอง
– มักพบในผู้สูงอายุ 45 ปีขึ้นไปหรืออาจเกิดขึ้นกับวัยอื่นๆได้ด้วยเช่นกัน
– ปวดรุนแรงมากแบบไม่เคยรู้สึกปวดขนาดนี้มาก่อน
– มักพบในคนที่ไม่เคยปวดหัวมาก่อนอยู่ดีๆ ก็ปวด
– ปวดจนต้องตื่นนอนนอนต่อไม่ไหว
– ปวดตอนไอ จาม เบ่ง
– อาจปวดตอนนั่งแต่ไม่ปวดตอนนอนหรือปวดตอนนอนแต่ไม่ปวดตอนนั่ง
– อาจมีอาการปวดหัวจนอาเจียนหลังตื่นนอน
– อาจปวดหัวบ่อยๆ แบบทนได้แต่หลังๆ ปวดต่างไปจากเดิม
– กินยาไม่หายขาดจะต้องพบแพทย์ด้านระบบประสาท
ปวดหัวจากความเครียด
– มักพบในวัยเรียนวัยทำงานส่วนใหญ่
– มีอาการปวดหัวทั้งสองข้างรู้สึกรัดๆ ตึงๆ จากกล้ามเนื้อ ลามไป หน้าผาก ขมับ กระบอกตา
– เกิดจาการจากการทำงานหนักทั้งการทำงานใช้แรงกาย การทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ทั้งวัน งานที่ใช้สายตามากจนล้า
– ขับรถไกลๆ นั่งรถไกลๆก็อาจทำให้ร่างกายเครียดจนปวดหัวได้
– เกิดจากความเครียดจากจิตใจมีเรื่องกระทบจิตใจร้ายแรง
– พักผ่อน กินยา นอนหลับตื่นมาก็สามารถใช้ชีวิตได้ปกติ
ปวดหัวไมเกรน
– ส่วนมากมักเกิดกับผู้หญิงอายุไม่เกิน 40
– มีอาการปวดหัวข้างเดียวซีกซ้ายขวาสลับกันได้ ลักษณะปวดตุ๊บๆ
– อาจปวดประมาณ 4 ชั่วโมงและยาวต่อเนื่องไปถึง 3 วันได้ หากไม่ได้กินยา
– ต้องกินยาแก้ปวดไมเกรนโดยเฉพาะ
– สาวๆ อาจมีอาการปวดหัวไมเกรนได้ก่อนช่วงมีประจำเดือนหรือมีประจำเดือน 3 วันแรก เนื่องจากฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกายมีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งสามารถกระตุ้นให้เกิดอาการปวดหัวมากกว่าปกติ แต่เป็นเรื่องปกติที่อาจเกิดขึ้นไม่ต้องกังวล
– อาหารกระตุ้นปวดหัวไมเกรน คือ อาหารในกลุ่มที่มีชีส ของหมักดอง กาเฟอีนสูง แอลกอฮอล์ ช็อกโกแลต
ปวดหัวส่วนไหน บอกโรคอะไรได้บ้าง
– ปวดหัวซีกเดียวหรือปวดไมเกรน อาจเปลี่ยนซีกซ้ายขวาเป็นภาวะปกติไม่น่ากังวลเพราะหมายถึงไม่มีรอยโรคจุดใดจุดหนึ่งชัดเจน แต่ถ้าปวดข้างใดข้างหนึ่งเสมอ เช่นข้างขวาทุกครั้งและมีอาการแรงขึ้นเรื่อยๆ อาจจะผิปกติสมองซีกนั้นปวดข้าวเดียวมักเป็นไมเกรนแต่สลับข้างได้
– ปวดขมับ หน้าผาก ตา กระบอกตา เป็นอาการปวดหัวเกิดจากความเครียด
– ปวดบริเวณท้ายทาย เป็นอาการปวดหัวจากความดันโลหิตสูง
– ปวดบริเวณโพรงจมูก แก้ม อาจเกิดจากไซนัสอักเสบ
ดูแลตัวเองเบื้องต้นเมื่อเกิดอาการปวดหัว
ปวดหัวไม่เกิน 2 ครั้ง / เดือน
ถ้าไม่ได้ปวดหัวเป็นประจำ ปวดหัวไม่เกิน 2 ครั้งต่อเดือน เช่นเกิดจากการอดนอน นอนไม่พอ เกิดจากความเครียด
ปวดจากอาการไข้ขึ้น ป่วย ไม่สบาย อาจนอนพักผ่อนเมื่อตื่นมาอาการจะดีขึ้น
หากไม่ดีขึ้นสามารถกินยาแก้ปวดพาราเซตามอลได้หรือหากกินพาราเซตามอลแล้วไม่หาย
อาจเกิดจากไมเกรนต้องกินยาเฉพาะทางให้ตรงกับโรค
ปวดหัวเกิน 2 – 4 ครั้ง / เดือน
ปวดหัวบ่อยอาจเป็นเพราะเป็นโรคปวดหัว จนรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน โดยที่ไม่ได้มีความผิดปกติในสมอง
ซึ่งสามารถรักษาได้ด้วยการกินยา คือ ยาเฉพาะเวลาปวดและยาป้องกันอาการ ถ้าปวดบ่อยจนต้องกินยาเกินเดือนละ 10 เม็ด
ยาอาจส่งผลข้างเคียงต่อตับและไตได้ควรเข้ามาปรึกษาแพทย์ด้านระบบประสาทเพื่อทำการรักษาอย่างเหมาะสม
ปรับไลฟ์สไตล์ ลดอาการปวดหัว
– การพักผ่อนไม่เพียงพอ นอนมากไป นอนน้อยไป สามารถทำให้เกิดอาการปวดหัวได้ ควรนอนพักผ่อนให้เหมาะสม 6-8 ชั่วโมงต่อวันและควรนอนหลับก่อนเวลา 23.00 น.
– อากาศเปลี่ยน มีมลภาวะ
– ใช้ฮอร์โมนในการรักษาหรือกินยาคุม มีผลต่ออาการปวดหัวควรปรึกษาแพทย์ทุกครั้ง
– ทำงานหนักเกินไป ใช้สายตาหน้าคอมพิวเตอร์ทั้งวัน อาจทำให้ร่างกายล้าจนเกิดอาการปวดหัว โดยทุก 1 ชั่วโมงควรลุกเดิน ยืดเส้นยืดสาย พักสายตามองบริเวณสีเขียวหรือหลับตาพักจะช่วยลดอาการได้
– ควรออกกำลังกายอย่างน้อย 150 นาที / สัปดาห์
– จิบน้ำบ่อยๆ
– ผู้ที่มีอาการปวดไมเกรน ต้องเลี่ยงการอยู่ในที่แสงสว่างจ้า เสียงดังๆ
– เลี่ยงอาหารจำพวกหมักดอง อาหารที่มีชีสเป็นส่วนผสม กาเฟอีน และแอลกอฮอล์
ขอขอบคุณข้อมูล gangbeauty.com